วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ศัลยกรรมการผ่าตัดแปลงเพศ (Sex Reassignment Surgery)


ศัลยกรรมการผ่าตัดแปลงเพศ (Sex Reassignment Surgery)
การผ่าตัดแปลงเพศเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จะช่วยเหลือผู้ที่มีภาวะทางจิตใจ ที่เกิดความขัดแย้งระหว่างการรับรู้เพศและสภาพร่างกายที่ไม่สอดคล้องกัน ตั้งแต่กำเนิดซึ่งทางการแพทย์เรียกว่า Gender Dysphoria โดยการผ่าตัดเพื่อให้มีอวัยวะเพศตรงตามสภาพจิตใจที่ต้องการของตนเอง และทำให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขกับเพศที่ตนเองได้เลือกใหม่
ดังนั้นการผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนแปลงเพศจึงเป็นการผ่าตัดครั้งสำคัญที่สุด ซึ่งจะมีผลต่อวิถีชีวิตใหม่ จึงควรมีการเตรียมตัวหาข้อมูลเกี่ยวกับการผ่าตัดให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตัดสินใจเลือกแพทย์ผู้ผ่าตัด ต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ และมีความชำนาญในการผ่าตัดแปลงเพศเป็นอย่างดี ซึ่งจะทำให้ได้รับรูปร่างของอวัยวะเพศภายนอกสวยงามเหมือนธรรมชาติ มีความลึกของช่องคลอดตามความเหมาะสมกับสภาพของร่างกายและสามารถรับความรู้สึกทางเพศได้ดี จะช่วยให้ผู้ที่รับการผ่าตัดมีสภาพร่างกายสอดคล้องกับสภาพจิตใจ สามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นปกติสุข
คุณสมบัติของผู้ที่เหมาะสมที่จะเปลี่ยนแปลงเพศจากชายเป็นหญิง มีดังนี้
1. ผู้ผ่าตัดต้องมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ หรือถ้าอายุไม่ถึง 20 ปี ต้องให้ บิดา มารดา หรือผู้ปกครองที่ถูกต้องตามกฏหมายอนุญาตให้ผ่าตัดได้
2. ต้องได้รับฮอร์โมนเพศหญิงติดต่อกันมาไม่น้อยกว่า 1 ปี
3. มีความรู้สึกเป็นผู้หญิงมานานแล้ว หรือตั้งแต่เริ่มจำความได้
4. เคยใช้ชีวิตแบบผู้หญิงมาไม่น้อยกว่า 1 ปี
5. รู้สึกรังเกียจอวัยวะเพศของตนเอง คิดว่าเป็นส่วนเกิน
6. ได้ผ่านการประเมินสภาพจิตใจและได้รับใบรับรองจากจิตแพทย์ ว่าอยู่ภาวะที่ปกติและเหมาะสมที่ทำการผ่าตัดแปลงเพศได้
7. ต้องมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์
ศัลยแพทย์ตกแต่งที่ทำการผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิง จะนำผิวหนัง เนื้อเยื่อ และเส้นประสาทที่รับความรู้สึกทางเพศของผู้เข้ารับการผ่าตัด มาตกแต่งให้เป็นอวัยวะเพศหญิงที่สมบูรณ์แบบ โดย
1. ทำให้มีอวัยวะเพศให้เหมือนผู้หญิงให้มากที่สุด
2. ทำให้ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดได้รับช่องคลอดที่ลึกที่สุด เท่าที่ผิวหนังของผู้ป่วยจะทำได้
3. เก็บรักษาเส้นประสาทความรู้สึกทางเพศมาเก็บไว้ที่ปุ่มรับความรู้สึกทางเพศของผู้หญิง (clitoris) ให้ความรู่สึกทางเพศเหมือนปกติ
4. ต้องทำการผ่าตัดและตกแต่ง ซ่อนแผลเป็นให้เห็นแผลเป็นให้มีโอกาสเห็นน้อยที่สุด
เทคนิคการผ่าตัดแปลงเพศ
1. มีการวางยาสลบโดยวิสัญญีแพทย์
2. ทำการสร้างช่องคลอดใหม่อยู่ระหว่างทวารหนักกับท่อปัสสาวะ ลึกประมาณ 6-7 นิ้ว
3. นำผิวหนังจากบริเวณองคชาตเดิมไปติดเป็นผนังช่องคลอดก็จะได้ช่องคลอดใหม่เกิดขึ้น เหมือนผู้หญิง
4. ตัดแกนองคชาตออกและเก็บเส้นประสาทรับความรู้สึกทางเพศเพื่อเตรียมทำปุ่มรับความรู้สึกทางเพศ (Clitoris)
5. ตัดท่อปัสสาวะเพศชายให้สั้นลงแล้วตกแต่งให้สามารถปัสสาวะพุ่งลงเหมือนผู้หญิง ถ้าทำการผ่าตัดไม่ดี เวลานั่งปัสสาวะอาจจะพุ่งขึ้นมาได้
6. ตกแต่งบริเวณภายนอกได้แก่ แคมนอก (Major Labia) แคมใน (Minor Labia) ท่อปัสสาวะและ ปุ่มรับความรู้สึกทางเพศ (Clitoris) ให้สวยงามเหมือนอวัยวะเพศหญิงที่สมบรูณ์ และยังคงมีความรู้สึกทางเพศอยู่เหมือนเดิม
การผ่าตัดแปลงเพศสามารถแบ่งตามขั้นตอนการสร้างช่องคลอด (Vagina) ใหม่ และปุ่มความรู้สึกทางเพศ (Clitoris) ได้ 3 วิธีดังนี้
. SRS 1 (Penile skin inversion)เป็นการนำเอาผิวหนังขององคชาตสอดกลับเข้าไปตกแต่งทำเป็นช่องคลอด ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับการความนิยมกันอย่างแพร่หลายข้อดี คือ เป็นวิธีที่ทำได้ง่ายและไม่ซับซ้อน สำหรับแพทย์ผู้ที่มีความชำนาญและมี ประสบการณ์ จะใช้เวลาในการผ่าตัดแปลงเพศ โดยใช้เทคนิคนี้ ประมาณ 4 ชั่วโมง ข้อเสีย คือไม่เหมาะกับผู้ที่มีความยาวขององคชาตสั้นกว่า 4 นิ้ว เพราะจะทำให้ได้ช่องคลอดที่ไม่ลึก (โดยปกติแล้วความลึกของช่องคลอดเท่ากับความยาวของหนังที่หุ้มองคชาต ลบ 1 นิ้ว (เผื่อผิวหนังที่จะใช้ทำแคมใน )** เทคนิคนี้พักรักษาตัวที่โรงพยาบาล 4 คืน
2. SRS 2 (Non skin inversion with scrotal skin graft)เทคนิคนี้เกิดจากการนำเอาผิวหนังจากองคชาต ไปทำเป็นช่องคลอดแล้วต่อด้วยผิวหนังจากถุงอัญฑะ เพื่อให้ได้ความลึกของช่องคลอดตามที่ต้องการและเพียงพอต่อการใช้งาน ถ้าต่อผิวหนังจากถุงอัญฑะแล้วยังได้ความลึกไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ผ่าตัด ศัลยแพทย์ตกแต่งอาจจะพิจารณานำผิวหนังจากที่อื่นๆ เช่น ต้นขา หน้าท้อง มาเพิ่มความลึกของช่องคลอดอีกก็ได้ข้อดี คือ สามารถช่วยให้คนที่มีองคชาตสั้น มีโอกาสได้ช่องคลอดที่ลึกตามความต้องการข้อเสีย คือ การผ่าตัดจะยุ่งยากซับซ้อน และใช้เวลาผ่าตัดเพิ่มขึ้น เทคนิคนี้แพทย์ผู้มีประสบการณ์และความชำนาญในการผ่าตัดแปลงเพศ ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง** พักรักษาตัวที่โรงพยาบาล 6 คืน
3. SRS 3 (The sigmoid colon vaginoplasty)ใช้ในกรณีที่ผู้ที่ทำการผ่าตัดแปลงเพศที่มีองคชาตสั้นมาก ๆ หรือผ่าตัดช่วยเหลือผู้ที่ช่องคลอดตีบตัน ซึ่งสามารถใช้กับผู้ที่ยังไม่เคยผ่าตัดแปลงเพศ ช่องคลอดที่มาจากส่วนหนึ่งของสำไส้ใหญ่นี้จะมีน้ำหล่อลื่นดีข้อดี1. สามารถช่วยเหลือคนที่เคยผ่าตัดแปลงเพศมาแล้วช่องคลอดตีบตันไม่สามารถร่วมเพศได้ให้กลับมาเป็นปกติได้ 2. สามารถช่วยเหลือคนที่มีองคชาตสั้น มาก ๆ โดยแพทย์พิจารณาแล้วไม่สามารถผ่าตัดแบบ SRS 1,SRS 2 ได้ 3. ช่องคลอดมีสารหล่อลื่นตามธรรมชาติ 4. สามารถกำหนดความลึกของช่องคลอดได้ข้อเสีย1. อาจเกิดแผลเป็นยาวประมาณ 7 ซม. เหนือหัวเหน่าด้านซ้าย2. การผ่าตัดมีความยุ่งยากซับซ้อนต้องมีการเตรียมการผ่าตัดเอาส่วนของสำไส้ ใหญ่ ออกมาโดยต้องมีการสวนล้างลำไส้ใหญ่ให้สะอาดก่อนผ่าตัด 1 วัน3. ผู้ทำการผ่าตัดอาจจะมีอาการท้องอืด 2 – 3 วัน หลังการผ่าตัด
การดูแลหลังการผ่าตัดคนไข้จะต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ที่ ร.พ. อย่างน้อย 4- 6 วัน เพื่อดูแลรักษาแผลในระหว่างที่พักรักษาตัวอยู่ที่ ร.พ. นั้นคนไข้จะต้องปฏิบัติตัวดังต่อไปนี้1. ให้คนไข้งดรับประทานอาหารที่มีกากและเครื่องดื่มจำพวกน้ำผลไม้ นม นมเปรี้ยว โยเกิร์ต เพราะจะเกิดการกระตุ้นทำให้เกิดการขับถ่ายในช่วง 2 วันแรกหลังการผ่าตัด ซึ่งอาจจะทำให้แผลมีการปนเปื้อนอุจจาระได้2. 1-2 วันแรกหลังผ่าตัด คนไข้ควรนอนอยู่ในท่านอนหงาย ยกสะโพกให้สูง และแยกขาทั้ง 2 ออกจากกันเล็กน้อย เพื่อช่วยลดอาการบวมได้ดีขึ้น3. วันที่ 3 หลังการผ่าตัดสามารถนอนตะแคงได้4. วันที่ 4 หลังการผ่าตัดแพทย์ผู้ผ่าตัดจะทำการถอดสาย drain ออกและเปิดแผลทำความสะอาดแผล และถอดสายสวนปัสสาวะออก ผู้ป่วยผ่าตัดแบบ SRS 1 สามารถกลับบ้านได้ และกลับมาตัดไหมในวันที่ 7 อีกครั้งสำหรับผู้ที่ทำการผ่าตัดแบบ SRS 2 (ใช้ผิวหนังส่วนอื่นมาเพิ่มความลึกของช่องคลอด) หรือผู้ที่ผ่าตัดแบบ SRS 3 (ใช้สำไส้มาตกแต่งเป็นช่องคลอด) แพทย์จะยังไม่ถอดสายสวนปัสสาวะออก และคนไข้ต้องนอนอยู่บนเตียงต่อไปจนถึงวันที่ 65. คนที่ผ่าตัดแบบ SRS 3 จะงดน้ำและอาหารหลังการผ่าตัดจนกระทั่งมีอาการผายลมก่อน จึงจะเริ่มจิบน้ำและรับประทานอาหารเหลวได้ ถ้ารับประทานอาหารเร็วเกินไป อาจจะทำให้เกิดอาการท้องอืดและอาหารไม่ย่อยได้ ดังนั้นสำหรับผู้ที่ผ่าตัดแบบ SRS 3 ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และพยาบาลอย่างเคร่งครัด6. วันที่ 6 คนที่ผ่าตัดแบบ SRS 2 หรือ SRS 3 จะถูกถอดสายสวนปัสสาวะ เปิดแผลทำความสะอาดแผลและกลับบ้านได้7. ผู้ผ่าตัด SRS 1, SRS2 , SRS3 กลับมาพบแพทย์เพื่อตัดไหมและขยายช่องคลอดโดยใข้ Dilator ที่ทาง คลินิกจัดเตรียมไว้ให้ เพื่อรักษาความกว้างและเพิ่มความลึกให้คงที่ควรหมั่นขยายช่องคลอดอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ครั้งละประมาณ ครึ่งชั่วโมง8. ผู้ผ่าตัดต้องทำความสะอาดแผลพร้อมกับขยายช่องคลอด ทุกวันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง จนกว่าแผลภายนอกและในช่องคลอดจะหายสนิทดี9. งดมีเพศสัมพันธ์เป็นเวลาอย่างน้อย 2 เดือน10. มาพบแพทย์ตามนัดทุก ๆ 1 สัปดาห์ หลังผ่าตัดจนครบ 1 เดือน เพื่อให้ผลการผ่าตัดที่ได้สมบูรณ์และสวยงามใกล้เคียงธรรมชาติ
โดยทีมงาน http://www.hayhar.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น